วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bandura

ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bandura




ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา  (Social Cognitive Learning Theory)  ซึ่งเป็นทฤษฎีของศาสตราจารย์บันดูรา  แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด  (Stanford) ประเทศสหรัฐอเมริกา  บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ  (Bandura 1963)  จึงเรียกการเรียนรู้จากการสังเกตว่า การเรียนรู้โดยการสังเกต  หรือ  การเลียนแบบ และเนื่องจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์  (Interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ  ตัวอยู่เสมอ  บันดูราอธิบายว่าการเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมในสังคม  ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน บันดูรา  (1969, 1971)  จึงเปลี่ยนชื่อทฤษฎีการเรียนรู้ของท่านว่า  การเรียนรู้ทางสังคม  (Social Learning Theory)  แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น  การเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา  (Social Cognitive Learning Theory) อีกครั้งหนึ่ง
 ทั้งนี้  เนื่องจากบันดูราพบจากการทดลองว่า  สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ด้วยการสังเกต คือ  ผู้เรียนจะต้องเลือกสังเกตสิ่งที่ต้องการเรียนรู้โดยเฉพาะ  และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ผู้เรียนจะต้องมีการเข้ารหัส  (Encoding)  ในความทรงจำระยะยาวได้อย่างถูกต้อง  นอกจากนี้  ผู้เรียนต้องสามารถที่จะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบ ได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร  และจะต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ด้วย (metacognitive ) บันดูรา  Bandura, 1986
จึงสรุปว่า  การเรียนรู้โดยการสังเกตจึงเป็นกระบวนการทางการรู้คิดหรือพุทธิปัญญา  (Cognitive Processes)  การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ  (Observational Learning หรือ Modeling) บันดูรา (Bandura)  มีความเห็นว่าทั้งสิ่งแวดล้อม  และตัวผู้เรียนมีความสำคัญเท่า ๆ กัน  บันดูรากล่าวว่า  คนเรามีปฏิสัมพันธ์  (Interact)  กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเราอยู่เสมอการเรียนรู้เกิดจาก  ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน  พฤติกรรมของคนเราส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต  (Observational Learning)  หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ  (Modeling) สำหรับตัวแบบไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น  แต่อาจจะเป็นตัวสัญลักษณ์  เช่น  ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์  หรือภาพยนตร์หรืออาจจะเป็นรูปภาพการ์ตูนหนังสือก็ได้  นอกจากนี้  คำบอกเล่าด้วยคำพูดหรือข้อมูลที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็เป็นตัวแบบได้  การเรียนรู้โดยการสังเกตไม่ใช่การลอกแบบจากสิ่งที่สังเกตโดยผู้เรียนไม่คิด  คุณสมบัติของผู้เรียนมีความสำคัญ  เช่น  ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถที่จะรับรู้สิ่งเร้า  และสามารถสร้างรหัสหรือกำหนดสัญลักษณ์ของสิ่งที่สังเกตเก็บไว้ในความจำระยะยาว  และสามารถเรียกใช้ในขณะที่ผู้สังเกตต้องการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ  บันดูราได้เริ่มทำการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบ  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา  ได้ทำการวิจัยเป็นโครงการระยะยาว และได้ทำการพิสูจน์สมมติฐานที่ตั้งไว้ทีละอย่าง  โดยใช้กลุ่มทดลองและควบคุมอย่างละเอียด  และเป็นขั้นตอน  ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการวิจัยที่บันดูราและผู้ร่วมงานเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการสังเกตผลการวิจัยที่ได้รับความสนใจจากนักจิตวิทยาเป็นอันมาก  และมีผู้นำไปทำงานวิจัยโดยใช้สถานการณ์แตกต่างไป  ผลที่ไดรับสนับสนุนข้อสรุปของศาสตราจารย์บันดูราเกี่ยวกับการเรี่ยนรู้โดยการสังเกต  การทดลองอันแรกโดย  บันดูรา ร็อส แ ละร็อส (Bandural, Ross&Roos, 1961)  เป็นการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยการสังเกต  
บันดูราและผู้ร่วมงานได้แบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม
1. ให้เห็นตัวอย่างจากตัวแบบที่มีชีวิต แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
2. เด็กกลุ่มที่สองมีตัวแบบที่ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
3. เด็กกลุ่มที่สามไม่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมให้ดูเป็นตัวอย่าง ในกลุ่มมีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
การทดลองเริ่มด้วยเด็กและตัวแบบเล่นตุ๊กตา  (Tinker Toys)  สักครู่หนึ่งประมาณ 1 – 10 นาที ตัวแบบลุกขึ้นต่อย  เตะ  ทุบ  ตุ๊กตาที่ทำด้วยยางแล้วเป่าลม  ฉะนั้นตุ๊กตาจึงทนการเตะต่อยหรือแม้ว่าจะนั่งทับหรือยืนก็ไม่แตก  สำหรับเด็กกลุ่มที่สอง  เด็กเล่นตุ๊กตาใกล้ ๆ กับตัวแบบ  แต่ตัวแบบไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวให้ดูเป็นตัวอย่าง  เด็กกลุ่มที่สามเล่นตุ๊กตาโดยไม่มีตัวแบบ  หลังจากเล่นตุ๊กตาแล้วแม้ผู้ทดลองพาเด็กไปดูห้องที่มีตุ๊กตาที่น่าเล่นมากกว่า  แต่บอกว่าห้ามจับตุ๊กตา  เพื่อจะให้เด็กรู้สึกคับข้องใจ  เสร็จแล้วนำเด็กไปอีกห้องหนึ่งทีละคน ซึ่งมีตุ๊กตาหลายชนิดวางอยู่และมีตุ๊กตายางที่เหมือนกับตุ๊กตาที่ตัวแบบเตะต่อยและทุบรวมอยู่ด้วย 
ผลการทดลองพบว่า  เด็กที่อยู่ในกลุ่ม  ที่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว  ส่วนเด็กที่อยู่ในแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวก็จะไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว  
สรุปว่าพฤติกรรมของมนุษย์อาจจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
1.             พฤติกรรมสนองตอบที่เกิดจากการเรียนรู้ ผู้ซึ่งแสดงออกหรือกระทำสม่ำเสมอ
2.         พฤติกรรมที่เรียนรู้แต่ไม่เคยแสดงออกหรือกระทำ
3.             พฤติกรรมที่ไม่เคยแสดงออกทางการกระทำ  เพราะไม่เคยเรียนรู้จริง ๆ
             บันดูราไม่เชื่อว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะคงตัวอยู่เสมอ  ทั้งนี้เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และทั้งสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน  ตัวอย่างเช่น  เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวก็คาดหวังว่าผู้อื่นจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อตนด้วย  ความหวังนี้ก็ส่งเสริมให้เด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว  และผลพวงก็คือว่าเด็กอื่น  (แม้ว่าจะไม่ก้าวร้าว)  ก็จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองแบบก้าวร้าวด้วย  และเป็นเหตุให้เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวยิ่งแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น  ซึ่งเป็นการย้ำความคาดหวังของตน
 บันดูราสรุปว่า เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวจะสร้างบรรยากาศก้าวร้าวรอบ ๆ ตัว  จึงทำให้เด็กอื่นที่มีพฤติกรรมอ่อนโยนไม่ก้าวร้าวแสดงพฤติกรรมตอบสนองก้าวร้าว  เพราะเป็นการแสดงพฤติกรรมต่อสิ่งแวดล้อมที่ก้าวร้าว
ขั้นของการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบ  บันดูรากล่าวว่า  การเรียนรู้ทางสังคมด้วยการรู้คิดจากการเลียนแบบมี  2  ขั้น  คือ
 ขั้นแรก  เป็นขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้  (Acquisition)  ทำให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้
 ขั้นที่สอง  เรียกว่าขั้นการกระทำ  (Performance)  ซึ่งอาจจะกระทำหรือไม่กระทำก็ได้  การแบ่งขั้นของการเรียนรู้แบบนี้ทำให้ ทฤษฎีการเรียนรู้ของบันดูราแตกต่างจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยมชนิดอื่น ๆ  การเรียนรู้ที่แบ่งออกเป็น  2  ขั้น  อาจจะแสดงด้วยแผนผังดังต่อไปนี้
แผนผังที่ 1 ขั้นของการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้  ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญเป็นลำดับ  3  ลำดับ  ดังแสดงในแผนผังที่
 แผนผังที่  2  ส่วนประกอบของการเรียนรู้ขึ้นกับการรับมาซึ่งการเรียนรู้  จากแผนผังจะเห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง  3  อย่าง  ของการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางพุทธิปัญญา  (Cognitive Processes)  ความใส่ใจที่เลือกสิ่งเร้ามีบทบาทสำคัญในการเลือกตัวแบบสำหรับขั้นการกระทำ (Performance)  นั้นขึ้นอยู่กับผู้เรียน เ ช่น  ความสามารถทางด้านร่างกาย  ทักษะต่าง ๆ รวมทั้งความคาดหวังที่จะได้รับแรงเสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตบันดูรา  (Bandura, 1977)  ได้อธิบายกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเรียนรู้โดยตัวแบบว่ามีทั้งหมด 4 อย่างคือ
1.กระบวนการความใส่ใจ  (Attention)  ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก  ถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจในการเรียนรู้  โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น  ดังนั้น  การเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็นสิ่งแรกที่ผู้เรียนจะต้องมี  บันดูรากล่าวว่าผู้เรียนจะต้องรับรู้ส่วนประกอบที่สำคัญของพฤติกรรมของผู้ที่เป็นตัวแบบ องค์ประกอบที่สำคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง  เช่น  เป็นผู้ที่มีเกียรติสูง  (High Status)  มีความสามารถสูง  (High Competence)  หน้าตาดี  รวมทั้งการแต่งตัว  การมีอำนาจที่จะให้รางวัลหรือลงโทษ  คุณลักษณะของผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ  ตัวอย่างเช่น  วัยของผู้เรียน  ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา  ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ  ของร่างกาย  รวมทั้งตัวแปรทางบุคลิกภาพของผู้เรียน  เช่น  ความรู้สึกว่าตนนั้นมีค่า  (Self-Esteem)  ความต้องการและทัศนคติของ  ผู้เรียน  ตัวแปรเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้โดยการสังเกต ตัวอย่างเช่น  ถ้าครูต้องการให้เด็กวัยอนุบาลเขียนพยัญชนะไทยที่ยาก ๆ  เช่น ฆ ม โดยพยายามแสดงการเขียนให้ดูเป็นตัวอย่าง  ทักษะการใช้กล้ามเนื้อใน การเคลื่อนไหวของเด็กวัยอนุบาลยังไม่พร้อมฉะนั้นเด็กวัยอนุบาลบางคนจะเขียนหนังสือตามที่ครูคาดหวังไม่ได้
2.  กระบวนการจดจำ  (Retention Process) บันดูรา  อธิบายว่า  การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบได้ก็เป็นเพราะผู้เรียนบันทึกสิ่งที่ตนสังเกตจากตัวแบบไว้ในความจำระยะยาว บันดูรา พบว่าผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม  หรือการกระทำของตัวแบบด้วยคำพูด หรือสามารถมีภาพพจน์สิ่งที่ตนสังเกตไว้ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้โดยการสังเกตได้ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทำงานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย
3.  กระบวนการจูงใจ  (Motivation Process)  บันดูรา  (1965, 1982)  อธิบายว่า  แรงจูงใจของผู้เรียนที่จะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบที่ตนสังเกต  เนื่องมาจากความคาดหวังว่า  การเลียนแบบจะนำประโยชน์มาใช้  เช่น  การได้รับแรงเสริมหรือรางวัล  หรืออาจจะนำประโยชน์บางสิ่งบางอย่างมาให้  รวมทั้งการคิดว่าการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบจะทำให้ตนหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ในห้องเรียนเวลาครูให้รางวัลหรือลงโทษพฤติกรรมของนักเรียน คนใดคนหนึ่งนักเรียนทั้งห้องก็จะเรียนรู้โดยการสังเกตและเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมหรือไม่แสดงพฤติกรรม เวลานักเรียนแสดงความประพฤติดี  เช่น นักเรียนคนหนึ่งทำการบ้านเรียบร้อยถูกต้องแล้วได้รับรางวัลชมเชยจากครู  หรือให้สิทธิพิเศษก็จะเป็นตัวแบบให้แก่นักเรียนคนอื่น ๆ พยายามทำการบ้านมาส่งครูให้เรียบร้อย เพราะมีความคาดหวังว่าคงจะได้รับแรงเสริมหรือรางวัลบ้าง  ในทางตรงข้ามถ้านักเรียนคนหนึ่งถูกทำโทษเนื่องจากเอาของมารับประทานในห้องเรียน ก็จะเป็นตัวแบบของพฤติกรรม  ที่นักเรียนทั้งชั้นจะไม่ปฏิบัติตาม  แม้ว่าบันดูราจะกล่าวถึงความสำคัญของแรงเสริมบวกว่ามีผลต่อพฤติกรรมที่ผู้เรียนเลียนแบบตัวแบบแต่ความหมายของความสำคัญของแรงเสริมนั้นแตกต่างกันกับของสกินเนอร์ (Skinner)


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น